การทำสมาธิกับการเจริญสติต่างกันอย่างไร?

การทำสมาธิกับการเจริญสติต่างกันอย่างไร?

สมาธิคือภาวะของจิตที่ "ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว"
คือนิ่งอยู่กับตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งสิ่งอื่น
หรือเมื่อมีสิ่งอื่นมารบกวนก็ไม่แกว่งไกวตามง่ายๆ
สติคือภาวะของจิตที่ "รู้เรื่องรู้ราว"
คือไม่ใช่เอากันแค่นิ่งอยู่ในฝัก
แต่ตัดเชือกกันว่าเอาตัวรอดได้หรือเปล่าด้วย
เปรียบเทียบได้กับคนที่เผชิญกับอุบัติเหตุกะทันหัน
ต้องนิ่งด้วย แล้วก็มีความเฉียบคมฉับไวด้วย
จึงจะหลีกหลบสิ่งที่พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
ด้วยความเป็นอัตโนมัติทันเวลา
ทางพุทธเปรียบสิ่งกระทบหูตาและกายใจทั้งหลาย
ว่าเหมือนเป็นภัยหรือยาพิษ
เมื่อไม่รู้ว่าเป็นภัยหรือยาพิษเราก็ไม่หลีกหลบ
ผลลัพธ์คือจิตเกิดความเสียหายอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน
สัมมาสติคือฝึกรู้ในสิ่งที่ควรรู้
ไม่ว่าจะนับจากก้าวแรกที่เห็นลมหายใจ
ไปจนถึงก้าวสุดท้ายที่เห็นธรรมทั้งปวง
ล้วนแต่ควรรู้ว่าเหล่านั้นไม่เที่ยง
บังคับให้เป็นอย่างใจไม่ได้
ไม่อาจคงรูปให้เป็นตัวเป็นตนอย่างใดอย่างหนึ่งถาวร
เมื่อรู้ความจริงก็จะได้ไม่มีอาการยึด
เช่น เมื่อรู้แล้วว่าจิตไม่เที่ยง
บังคับจิตให้เป็นไปตามต้องการไม่ได้
เราก็จะได้ไม่คาดหวัง
ยึดมั่นสำคัญผิดว่าจะให้มันทรงนิ่งอยู่ตลอด
หรือเมื่อรู้แล้วว่ากายไม่เที่ยง
เหนี่ยวรั้งให้กายคงอยู่ในสภาพใดสภาพหนึ่งไม่ได้
เราก็จะหมดความทุรนทุรายเมื่อมันเหี่ยวย่นลง
หรือแม้กระทั่งร่างของบุคคลอันเป็นที่รักแตกดับ
เราก็จะไม่ร่ำร้องคร่ำครวญให้ร่างนั้นกลับฟื้นคืนชีพ
การเจริญสติมุ่งหมายเอาการฝึกรู้กายใจตามจริง
ผลลัพธ์สุดท้ายคือสมาธิที่เรียกว่า "อริยสมาธิ"
คือจิตตั้งมั่นรู้อยู่เองเป็นอัตโนมัติว่า
กายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ
ดังนั้น ถ้าจะกล่าวโดยภาพรวม
ก็ต้องบอกว่าการทำสมาธิแบบพระพุทธเจ้า
คือ "การเจริญสติ" แบบที่เราได้ยินกันมากขึ้นในยุคนี้นั่นเอง
เมื่อทำสมาธิจนเป็นอริยสมาธิเต็มขั้น
ก็คือการเกิดปรากฏการณ์ล้างผลาญกิเลสเป็นขั้นๆ
เรียกว่ามรรคผลขั้นโสดา สกทาคา อนาคา และอรหัตต์ตามลำดับ

ดังตฤณ